วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เป้าหมายสูงสุดของศาสนาคริสต์

ในการศึกษาบทนี้ เป็นการศึกษาเป้าหมายสูงสุดของศาสนาคริสต์ อันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรของพระเจ้า และชีวิตนิรันดร์ ของคริสตชนทั้งหลาย โดยจะได้ศึกษาตามประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
๓.๑ กำเนิดของแผ่นดินโลก มนุษย์ และจักรวาล
๓.๒ ทฤษฎีว่าด้วยการรู้แจ้ง
๓.๓ อาณาจักรของพระเจ้า และชีวิตนิรันดร์
๓.๔ พระเจ้าได้ยกบาปของท่านแล้ว (ชีวิตนิรันดร์)

๓.๑ กำเนิดของแผ่นดินโลก มนุษย์ และจักรวาล
"แหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ " มนุษย์ตั้งคำถามไว้เช่นนี้อยู่แล้วเสมอ คนเรามาจากไหน? จุดเริ่มต้นของเรา คืออะไร? จักรวาลเริ่มต้นมาอย่างไร? "ใครเล่าได้ขึ้นไปยังสวรรค์และลงมา ใครเล่า ได้รวบรวมลม ไว้ในกำมือของท่าน ใครเล่า ได้เอาเครื่องแต่งกาย ห่อห้วงน้ำไว้ ใครเล่า ได้สถาปนา ที่สุดปลาย แห่งแผ่นดินโลกไว้ นามของผู้นั้น ว่ากระไร และนามบุตรชาย ของผู้นั้น ว่ากระไร ท่านจะต้องรู้เป็นแน่ " มีทฤษฏีมากมาย ที่พยายาม ตอบคำถามเหล่านี้ แต่พระคัมภีร์ สอนไว้ว่า
ในปฐมกาล "พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน" ปฐมกาล 1:1
ข้าแต่พระเจ้า คือพระองค์เอง ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก ด้วยฤทธานุภาพ ใหญ่ยิ่งของพระองค์ และด้วยพระหัตถ์ ซึ่งเหยียดออก ของพระองค์ สำหรับพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินเยเรมีย์ 32:17
สดุดี 33:6, 9 โดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวง ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ ... เพราะพระองค์ตรัส มันก็เกิดขึ้นมา พระองค์ทรงบัญชา มันก็ออกมา
ฮีบรู 11:3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้า ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์
พระเจ้าทรงสร้างจักรวาล ด้วยอำนาจพระดำรัสสั่งของพระองค์ พระองค์ ทรงวางแผน แล้วทรงแปลง การวางแผน ให้เป็นปรากฏการณ์ ที่เป็นจริง
ปฐมกาล 1:1 - 2:3
วันที่ 1 แสงสว่างปรากฎขึ้น [1:1-5]

วันที่ 2 พระเจ้าทรงสร้างบรรยากาศ [1:6-8]
วันที่ 3 พื้นดินแยกออกจากน้ำทะเล [1:9-10] ต้นพืชขึ้นบนพื้นดิน [1:11-13]
วันที่ 4 พระเจ้าทรงสร้างดวงดาว (ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์...) [1:14-19]
วันที่ 5 พระเจ้าทรงสร้างปลาและนก [1:20-23]
วันที่ 6 สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่า ตามชนิด + มนุษย์ [1:24-31]
วันที่ 7 พระเจ้าทรงพักผ่อน และทรงตั้งวันที่เจ็ด เป็นวันบริสุทธิ์ [2:1-3]
ปฐมกาล 1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา"
ฮีบรู 1:2 แต่ในวาระสุดท้ายนี้ พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลาย ทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ ได้ทรงตั้ง ให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวง เป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้าง กัลปจักรวาลโดยพระบุตร
ด้วยพระดำรัสของพระเจ้าที่ว่า "ให้เราสร้าง...." นี้ พระองค์ ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้กระทำการ สร้างจักรวาล โดยลำพัง แน่นอนทีเดียว ข้อสองยังบอกเราว่า พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง โดยพระบุตร
โคโลสี 1:16 เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก
ยอห์น 1:1-3,14 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาล พระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า ... พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา โดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียว ที่ได้เป็นมา นอกเหนือพระวาทะ พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์
ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปฐมกาล พระวาทะ คือพระเยซูคริสต์ ทรงกระทำการ ร่วมกับพระบิดา ในการสร้างโลก
สดุดี 14:1 คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า "ไม่มีพระเจ้า"
สุภาษิต 1:7 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของ ความรู้
ในปี ค.ศ. 1859 ชาร์ล ดาร์วิน เป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีวิวัฒานการ ทฤษฏีนี้ กล่าวไว้ว่า มนุษย์ไม่ได้เป็น ผลงานของพระเจ้า ในการสร้างโลก แต่เป็นผล ของการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ซึ่งเกิดขึ้น อย่างไม่เป็นระเบียบ ใช้เวลาล้านๆ ปี ให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ นาๆ จนในที่สุดกลายมาเป็นมนุษย์ ตามที่เห็นในทุกวันนี้
"จนถึงวันนี้ เราจะต้องยอมรับว่า การศึกษาเกี่ยวกับชีววิทยา ของชีวิตสัตว์ และพืชโบราณ ยังหาจุดเชื่อมโยง ระหว่างมนุษย์ และสัตว์ไม่ได้ " [อัลเบร์ท กูดรี]
"ข้อสมมติฐานของการสร้างโลกโดยไม่มีพระเจ้านั้น เป็นเรื่องที่คิดแล้ว เป็นไปไม่ได้ " [เวินเฮอร์ ฟอน เบราน์]
"นักวิทยาศาสตร์ ไม่อาจเจาะเข้าหา ความลึกลับของเรื่องการสร้างโลกโดยมองไม่เห็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า" [โรเบิรท บอย]
"วิทยาศาสตร์ยืนยันอย่างแน่วแน่ว่า มีอำนาจของการสร้างโลก
ที่จะผลักดันให้เรา ยอมรับว่าเป็นเรื่องของความเชื่อ" [ลอร์ด เคลวิน]
"ในที่สุด คำอธิบายของการมีทุกสิ่งนั้นมาจากพระเจ้า" [อาร์โนว์ด ลูนน์]
"ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ไม่เคยมีการสงสัยเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ ของต้นกำเนิดของมนุษย์เท่ากับในปัจจุบัน และวงการวิทยาศาสตร์ ที่ปฏิเสธที่จะเชื่อนั้น ไม่เคยเลย ที่จะมีข้อโต้แย้งมากมายเช่นนี้" [โรเจอร์ ดู พาสเคร์]
"เราสงสัยด้วยเช่นกัน ว่าการเลือกสรรตามธรรมชาติ แม้จะใช้เวลาวิวัฒนาการ อันยาวนาน
จะสร้างอวัยวะ ที่ซับซ้อน เช่น สมอง ตา หูของสัตว์ชั้นสูงได้อย่างไร" [ยีน โรสเทนด์]
"เมื่อข้าพเจ้าคิดถึงดวงตา ข้าพเจ้าจะร้อนหนาวไปทั้งตัว" [ชาร์ล ดาร์วิน]
ชาร์ล ดาร์วิน และยีน โรสท์แอนด์ ให้ข้อสังเกตว่า ความสลับซับซ้อนของดวงตา ก็เพียงพอ ที่จะทำลายทฤษฎี วิวัฒนาการ อวัยวะที่สลับซับซ้อน และละเอียดเช่นนี้ จะเกิดขึ้นจาก ผลของการเปลี่ยนแปลง โดยบังเอิญ ในเวลาล้านๆ ปี ได้อย่างไร (ให้สังเกตภาพข้างต้นดูซิว่า ท่านมองเห็น แรงดึงของกล้ามเนื้อตานี้หรือไม่ เป็นไปไม่ได้ ที่ความบังเอิญ จะทำให้เกิดแรงดึง อย่างน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้) เป็นไปได้หรือ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เกิดจากชิ้นส่วนต่างๆ มารวม กันโดยบังเอิญ สมองของมนุษย์นั้น ซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ กว่าเครื่องคอมพิวเตอร์มาก พระคัมภีร์ มีคำอธิบาย ที่ดีที่สุด คือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง สิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงเหล่านี้
ปฐมกาล 1:26,27 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลา ในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน" พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ขึ้น และได้ทรงสร้าง ให้เป็นชายและหญิง
โยบ 20:4 มนุษย์ถูกวางไว้บนแผ่นดินโลก
โยบ 26:7 พระองค์ทรงคลี่อุดร ออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า
อิสยาห์ 40:21-22 ท่านทั้งหลายไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ ไม่มีผู้ใดบอกท่านตั้งแต่แรกแล้วหรือ ท่านไม่เข้าใจ รากฐานของแผ่นดินโลกหรือ คือพระองค์ผู้ประทับเหนือปริมณฑลของแผ่นดินโลก
ให้เราสังเกต บ่อยครั้ง จะมีการกล่าวหาว่า พระคัมภีร์ ขัดแย้งกับการเปิดเผย ของความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ และด้วยเหตุนี้ จึงถ่วงความก้าวหน้า ของพระคัมภีร์ในการเปิดเผยความจริง ยกตัวอย่าง เรื่องของการเยาะเย้ย ที่กาลิเลโอได้รับ แม้ว่าความรู้ที่ให้นั้น ถูกต้อง แต่หากผู้นำศาสนา เข้าใจพระคัมภีร์ ได้ดีกว่านี้ พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ คำพูดของกาลิเลโอ ความจริงแล้ว พระคัมภีร์สอนไว้แล้วว่า โลกเราลอยอยู่ในที่ว่างเปล่า เป็นปรากฎการ ที่โลกวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมรับมาหลายศตวรรษ เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว พระคัมภีร์ยืนยัน ว่าโลกกลม ถึงอย่างไรก็ตามที โลกวิทยาศาสตร์ เชื่อต่างกันเป็นเวลานาน
ปฐมกาล 1:25 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่า ตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลาน บนแผ่นดินตามชนิดของมัน
สดุดี 19:1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์
เรื่องของการสร้างโลกมักใช้คำว่า สร้างตามชนิดของมัน หากเป็นเรื่องจริงที่ว่า เวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลง จะทำให้ มีเผ่าพันธุ์ และสัตว์ต่างชนิด เกิดขึ้นใหม่ แต่ยังไม่พบเลยว่า มีสายพันธ์ใหม่ใด ที่เกิดขึ้นจากสายพันธุ์ ที่แตกต่างกัน (ตัวอย่างเช่น สุนัขเกิดลูกแมว) การไม่เปลี่ยนแปลง จากชั่วอายุหนึ่ง ไปยังอีกชั่วอายุหนึ่งนั้น ได้อธิบายให้เห็นแล้ว ในพระคัมภีร์
เพื่อนคนหนึ่งของโคเปอร์นิคัส ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่ง พูดว่า ระบบสุริยจักร เกิดขึ้นโดยบังเอิญ โคเปอร์นิคัส จึงสร้างหุ่นจำลองขนาดเล็ก ของระบบสุริยจักรวาล เพื่อนคนนี้ประหลาดใจ กับความงดงาม ของหุ่นจำลองนี้ จึงถามว่าใครสร้าง โคเปอร์นิคัสตอบว่า มันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเห็นว่า เพื่อนคนนี้ มองด้วยความสงสัย เขาจึงพูดต่อว่า คุณไม่เชื่อว่าหุ่นจำลองนี้ เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สำหรับ ระบบสุริยจักรวาลแล้ว คุณเชื่อเช่นนี้
โยบ 12:7-9 "แต่ขอถามสัตว์เดียรัจฉาน และมันจะสอนท่าน ถามนกในอากาศดู และมันจะบอกท่าน หรือพูดกับแผ่นดินโลก และมันจะสอนท่าน และถามปลาทะเล มันจะประกาศแก่ท่าน ในสิ่งเหล่านี้ มีสิ่งใดที่ไม่ทราบว่า พระหัตถ์ของพระเจ้า ทรงกระทำให้เป็นไปอย่างนั้น"
สดุดี 139:14 ข้าพระองค์โมทนาพระคุณพระองค์เพราะพระองค์ทรงกระทำ ให้ข้าพระองค์ แปลกประหลาดอย่างน่ากลัว พระราชกิจของพระองค์ อัศจรรย์ ข้าพระองค์ โมทนาพระคุณ
สัญชาตญาณของสัตว์ที่แปลกประหลาดใจ การบินเหินไปอย่างสวยงามของนก ผลงานสร้าง รังผึ้ง ที่สมบูรณ์แบบ หากเรายิ่งศึกษา เรื่องของธรรมชาติแล้ว เราก็จะยิ่งมองเห็น พระหัตถกิจ อันแสนประเสริฐ ของพระเจ้าได้ โรเจอร์ เบคอนเคยเขียนไว้ว่า "ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เพียงเล็ก จะนำเราให้ออกห่างพระเจ้า แต่ความรู้มากมาย จะนำเรากลับมาหาพระองค์ "
ความซับซ้อนของร่างกายมนุษย์ที่พบขึ้นใหม่ๆ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ อัศจรรย์ใจ ความบังเอิญ จะทำให้เกิดมนุษย์ ที่มีเหตุมีผล คิดได้ วินิจฉัยได้ และรักได้หรือ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า หากจะเชื่อ ทฤษฏีของ วิวัฒนาการแล้ว จะต้องใช้ ความเชื่อ มากกว่าที่จะเชื่อ เรื่องพระเจ้าสร้างโลก
2 เปโตร 3:3,5 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือ ในกาลสุดท้าย คนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้น และประพฤติ ตามใจปรารถนาของตน เพราะว่าเขา แกล้งลืมข้อนี้เสีย คือโดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ ได้อุบัติขึ้น ตั้งแต่โบราณ และแผ่นดินโลก จึงได้เกิดขึ้น จากน้ำ และมีน้ำล้อมรอบทุกด้าน
โรม 1:18,19 เพราะว่าพระเจ้า ทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้าย ทั้งมวล ของมนุษย์ ที่เอาความชั่วร้ายนั้น บีบคั้นความจริง เหตุว่า เท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว
เป็นคำพยากรณ์ ที่เปโตรบอกไว้แล้ว เมื่อสองพันปีก่อน ว่ามีคนจะเยาะเย้ย เรื่องของพระเจ้าสร้างโลก คนนับล้าน ต้องการเชื่อว่ามนุษย์ เป็นสัตว์ชั้นสูง มากกว่าที่จะเชื่อว่า เป็นผลงานชิ้นเอก ของการทรงสร้างของพระเจ้า และเชื่อว่า จักรวาล มาจาก การรวมตัวโดยบังเอิญ และไม่ใช่พระเจ้ายิ่งใหญ่ เป็นผู้ทรงสร้าง เป็นเรื่องแปลกใช่ไหม พระคัมภีร์ เตือนผู้ที่ปฏิเสธ ที่จะยอมรับพระเจ้า เป็นพระผู้สร้าง แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมาย ของการทรงสร้างของพระองค์
โรม 1:20-22 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวร และเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัด ในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลาย จึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่า เขาทั้งหลาย ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติ แด่พระองค์ ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิด ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขา ก็มืดมัวไป เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป
กิจการฯ 14:15-17 (เรา) มากล่าวข่าวประเสริฐ ให้ท่านกลับจากสิ่งไร้ประโยชน์ เหล่านี้ ให้ท่านมาหาพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์ ผู้ได้ทรงสร้าง ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทะเลและสิ่งสารพัด ซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น ในกาลก่อน พระองค์ได้ทรงยอม ให้บรรดาประชาชาติ ประพฤติตามชอบใจ แต่พระองค์มิได้ทรงให้ขาดพยาน
พระเจ้าไม่เคยหยุดที่จะให้หลักฐานถึงเรื่องที่ว่ามีพระเจ้า แต่หลักฐานดีที่สุด ที่พระองค์ทรงประทานให้เรานั้น มาจาก พระโอษฐ์ พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูทรงสอน ถึงเรื่องจุดเริ่มต้น ของจักรวาลไว้อย่างไร "พระเยซูตรัสว่า 'พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง' " [ยอห์น 17:17] พระคำของพระเยซูนั้น ให้เหตุผลที่หนักแน่นที่สุด ตลอดเวลา ที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงประทับตรา อำนาจของพระองค์ ด้วยเรื่องของการสร้างโลก ตามที่บันทึกไว้ ในหนังสือปฐมกาล คำถามตรงไปตรงมาคือ เราจะเชื่อใครดี พระเยซูหรือนักวิวัฒนาการ? "(พระเยซูตรัสว่า) 'แต่ตั้งแต่เดิม สร้างโลก พระเจ้า ได้ทรงสร้างมนุษย์ ให้เป็นชายและหญิง "
โยบ 38:4 เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา
โยบ 42:3 โยบตอบว่า "ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาด เกินแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ"
พระเจ้าทรงเชิญท่าน ให้แสวงหาจุดเริ่มต้นของจักรวาล ด้วยความถ่อมใจ ขอให้เราทำตามโยบ และมีท่าทีของความ ถ่อมใจ ยอมรับ ขีดจำกัดของเรา และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในขณะที่เรา ดำเนินชีวิตอยู่ ในยุคสุดท้ายของโลก ให้เราทิ้ง ทฤษฏีของมนุษย์ไปเสีย และกลับมาหาพระเจ้า พระผู้สร้างองค์เดียวของเรา
วิวรณ์ 14:6,7 แล้วข้าพเจ้า ได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่ง เหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ อันเป็นอมตะ แก่ชนชาวโลกทั้งปวง ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติ ทุกภาษา ท่านประกาศ ด้วยเสียงอันดังว่า "จงยำเกรงพระเจ้า และถวายพระเกียรติ แด่พระองค์ เพราะถึงเวลา ที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว และจงนมัสการพระองค์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย"

๓.๒ ทฤษฎีว่าด้วยการรู้แจ้ง
เดิมทีท่านเคยเห็นด้วยกับหลักคิดที่เชื่อในความสงสัย ที่กล่าวว่า “ไม่มีความจริงใด ๆ ที่มนุษย์จะสามารถรับรู้เข้าใจได้ –no truth can be comprehended by man” แต่หลังจากที่ท่านกลับใจรับศรัทธาศาสนาคริสต์แล้ว ท่านได้แสดงหลักการที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ปัญญาของมนุษย์ที่ทรงเหตุทรงผลสามารถรับรู้และเข้าใจความจริงต่าง ๆ ได้ เพียงแต่ว่าเขาจะรับรู้ความจริงแต่ละแบบด้วยวิธีการใด (know how) ทั้งนี้เพราะ ความรู้มีอยู่มากมายหลากหลาย สิ่งหนึ่งที่เราจะรู้ได้อย่างแน่นอนที่สุดคือ หลักแห่งความแย้งกัน (the principle of contradiction) กล่าวคือ เรารู้ว่า สิ่ง ๆ หนึ่ง สามารถมีอยู่และเป็นอยู่หรือไม่มีอยู่และเป็นอยู่ก็ได้ในเวลาเดียวกัน จากจุดนี้เราจึงรู้ว่า มีทั้งโลกหนึ่งและหลาย ๆ โลก (that there is either one world or many worlds) ถ้าโลกมีจำนวนหนึ่ง ก็เป็นโลกที่มีความจำกัด (finite) และถ้าโลกมีจำนวนหลากหลายก็เป็นโลกที่ไร้ความจำกัด (infinite) สิ่งที่เรารับรู้อยู่ ณ เวลานี้ จึงมีทางเลือกในการรับรู้ได้อีกหลายทาง จิตสามารถรับรู้ความจริงได้แน่นอนก็เพราะว่าจิตสามารถรับรู้ในเอกภาพของความจริง และจิตรับรู้ความจริงได้จากการมีความรู้ในสัมพันธภาพระหว่างสิ่งทั้งหลายนั่นเอง
ความรู้กับเพทนาการ (knowledge and sensation) เมื่อคนเรารับกระทบทางผัสสะกับวัตถุต่าง ๆ เขาจะได้รับความรู้บางอย่างที่เป็นผลจากการรับกระทบทางผัสสะนั้น ในทัศนะของท่านออกุสตินแล้ว ความรู้ทางผัสสะ (sense knowledge) เป็นความรู้ระดับต่ำที่สุด แต่ผัสสะเวทนาก็ให้ความรู้ชนิดหนึ่งแก่เรา อย่างน้อยก็เป็นความรู้ที่แน่ชัดจำนวนหนึ่ง การรับรู้ทางผัสสะเวทนา ให้ความแน่นอน 2 อย่างได้แก่ อย่างแรก ผัสสะเวทนา เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ และอย่างที่สองอวัยวะรับรู้ทางผัสสะเวทนาเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยเหตุนี้ ทำให้การรับรู้ทางผัสสะเวทนามีความหลากหลายไปเรื่อย ๆ ตามกาละและบุคคลแต่ละคน อะไรเกิดขึ้น เมื่อเรารับกระทบผัสสะกับสิ่งต่าง ๆ? ท่านออกุสติน ตอบปัญหาข้อนี้โดยใช้หลักปรัชญาแนวเพลโตที่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือมนุษย์จะเกิดสภาวะความเป็นเอกภาพเดียวของร่างกายกับจิตวิญญาณ ท่านออกุสตินยังอธิบายต่อไปอีกว่า ร่างกาย เป็นเสมือนคุกของวิญญาณ แต่ท่านได้แย้งเพลโตในประเด็นที่ว่า ความรู้ไม่ได้เป็นผลมาจากกิจกรรมของการระลึกความทรงจำ (Recollection) แต่ ความรู้เป็นผลมาจากกิจกรรมของจิตวิญญาณ
กิจกรรมทางผัสสะของมนุษย์มีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ ได้แก่ (1) วัตถุที่รับกระทบ (2) อวัยวะที่เป็นที่ตั้งของการรับผัสสะ (3) กิจกรรมของจิตใจ การมีจินตภาพของวัตถุนั้น และ (4) สิ่งที่เป็นอสภาวะของวัตถุนั้น เช่น ความงาม (beauty) เป็นอสภาวะของวัตถุที่จิตใช้ตัดสินพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่รับกระทบทางผัสสะเวทนา ความรู้จึงพัฒนามาจากความรู้ทางผัสสะเวทนา ที่เป็นการรับรู้จากระดับต่ำไปสู่การรับรู้ความจริงสากลในระดับที่สูงขึ้น และความรู้ในระดับที่สูงที่สุดคือ ความรู้ในพระเจ้า
หลักว่าด้วยการรู้แจ้ง (The Doctrine of Illumination) เริ่มจากทฤษฎีความรู้ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ระหว่างการรับรู้ทางผัสสะเวทนา กับความรู้ ก็มาถึงประเด็นปัญหาที่ว่า จิตรู้ความจริง หรือ จิตมีความรู้ได้อย่างไร? ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ท่านออกุสติน ปฏิเสธเรื่องการระลึกความทรงจำและเรื่องความคิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (innate ideas) ท่านได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับ “หลักคิดว่าด้วยการกระบวนการคิดนามธรรม-the notion of abstraction” ที่เริ่มจากเมื่อดวงตาแลเห็นวัตถุต่าง ๆ จนกระทั่งไปสู่การรับรู้ของจิตที่เป็นการรับรู้ความเป็นจริงทางปัญญา (intelligible reality) จิตมนุษย์รับรู้ความจริงทางปัญญา ได้ด้วย แสงสว่างแห่งความรู้แจ้ง เมื่อจิตได้รับแสงสว่างแห่งการรู้แจ้ง จิตจะเห็นความจริงต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เลย แสงสว่างแห่งความรู้แจ้งนี้ เป็นแสงสว่างแห่งเหตุผลนิรันดร์ เป็นแสงสว่างชนิดที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แสงสว่างแห่งความรู้แจ้งนี้ได้รับมาจาก พระผู้เป็นเจ้า เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ (the divine light) หรือ แสงธรรมที่ส่องสว่างกลางดวงจิตวิญญาณ ทำให้จิตเกิดความรู้แจ้งทางปัญญา

3.2.1 หลักแห่งพระผู้เป็นเจ้า
นักบุญออกุสติน มีหลักแนวคิดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ท่านไม่ได้สนใจในเรื่องการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า (the existence of God) แต่สนใจเกี่ยวกับการแสวงหาภูมิปัญญา (wisdom) และความสงบแห่งดวงจิต (peace of mind) นั่นคือ ท่านได้พบว่า ประสบการณ์ที่ได้รับจากการแสวงหาความรู้และความจริงนิรันดร์ ได้ให้ความสงบอย่างลึกซึ้งแก่จิต ในขณะที่ประสบการณ์ที่ได้รับจากความพึงพอใจทางผัสสะเวทนาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความรู้แท้ กับความรู้ในพระผู้เป็นเจ้าจึงเป็นหนึ่งเดียวกัน (God is truth.) หรืออีกนัยหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่ในมนุษย์ พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ พระองค์ย่อมยกมนุษย์ขึ้นสู่ความหลุดพ้นได้เช่นกัน ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้เคยตอบคำถามของท่านโมเสสผู้นำชาวยิวให้หลุดพ้นจากความเป็นทาสที่อิยิปต์ ที่ถามพระเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้าคือใคร?” แล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสตอบท่านโมเสส ด้วยพระกระแสความว่า “..เป็นอย่างที่….เป็นอยู่” (I AM that I AM.) ซึ่งท่านออกุสตินอธิบายความหมายนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นสภาวะของพระองค์เอง (God is being itself.) พระองค์จึงทรงเป็นความ บริบูรณ์ (God is perfect being.) ทรงสูงสุด (the highest being) ทรงเป็นนิรันดร์ (eternal being) สรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความดำรงอยู่และพระราชภารกิจของพระผู้เป็นเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง (God is the source of all being.)
1) พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่มาแห่งความรู้แจ้งของจิตวิญญาณ (the enlightenment for the mind) และทรงเป็นต้นกำเนิดของพลังเจตจำนงที่แน่วแน่ ยิ่งไปกว่านั้นความรู้ต่าง ๆ เกิดขึ้นได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหลักมาตรฐานของความรู้ทั้งหลายทั้งปวง (God is the standard for truth.) ทั้งนี้เพราะ มีสัมพันธภาพระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับโลกนี้ การที่รู้จักสิ่งหนึ่งย่อมนำไปสู่การรู้จักอีกสิ่งหนึ่งด้วย (to know one is to know something of the other) ด้วยเหตุนี้ท่านออกุสติน จึงได้ยืนยันว่า ถ้าบุคคลใดมีความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็ย่อมที่จะมีความรู้และความเข้าใจในความจริงแท้เกี่ยวกับธรรมชาติของโลกและธรรมชาติของมนุษย์ และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ได้เช่นกัน นั่นคือ การนำไปสู่คำอธิบายที่ยืนยันในหลักตรีเอกานุภาพ (the evidences of the Trinity) พระบิดา พระวจนะ และพระจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน
2) หลักแห่งการนิรมิตจากความว่างเปล่า (Creatio Ex Nihilo) เป็นหลักการที่ท่านออกุสติน ใช้อธิบายการนิรมิตรังสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งหลายมาจากความว่างเปล่า (God created all thing ex nihilo, out of nothing.) ซึ่งแนวคิดตรงจุดนี้แตกต่างจากทฤษฎีแบบของเพลโตที่อธิบายว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกสร้างขึ้นมาจากแบบ ตามหลักปรัชญาศาสนาของท่านออกุสติน สิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าล้วนเป็นผลผลิตแห่งความดี ไม่มีสิ่งใดเลยที่มาจากความชั่วร้าย นั่นย่อมหมายความว่า ความดี คือ รากฐานของการนิรมิตของพระผู้เป็นเจ้าโลกถูกสร้างขึ้นมากบนรากฐานของความดี ท่านได้ใช้แนวคิดนี้โต้แย้งแนวคิดทวินิยมของนักคิดกลุ่มมานิเชียน ทั้งนี้เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำด้วยหลักแห่งเหตุผล (The Rationes Seminales) ซึ่งเป็นหน่อเชื้อการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ที่มีระบบ ระเบียบ กฎแห่งความเป็นไปในตนเอง โดยมีอำนาจที่มองไม่เห็นและเป็นต้นเหตุกำกับอยู่ พระจิตของพระผู้เป็นเจ้าคือ ที่มาของหลักแห่งเหตุผลของสรรพสิ่ง หลักการนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ไบเบิล เล่มปฐมกาล (Genesis) ที่บันทึกเหตุการณ์ในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงนิรมิตสร้างโลกและสรรพสิ่งอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนของวิวัฒนาการของชีวิต
๓.๓ อาณาจักรของพระเจ้า และชีวิตนิรันดร์
"ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า จะได้ประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง" [มัทธิว 24:14]
หลายยุคสมัยมาแล้ว ที่มนุษย์พยายามจะไปสวรรค์ ด้วยวิธีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ รักษาศีล ฯลฯ แต่ความจริงย่อมมีหนึ่งเดียว สวรรค์มิอาจมีได้ตามความเชื่อ ของตามแต่ละศาสนา เช่น ตำนานกรีก เชื่อว่ามีสวรรค์ หลายแห่ง และมีเทพครองสวรรค์หลายองค์, อียิปต์ เชื่อว่าวิญญาณจะกลับเข้าสู่ร่างภายหลัง แท้จริงแล้ว ศาสนา ไม่ช่วยให้คุณขึ้นสวรรค์ และสวรรค์ ต้องถูกกำหนดไว้แห่งเดียวเท่านั้น มนุษย์ที่จะไปได้ ต้องรู้จักเจ้าของสวรรค์ และทำตามวิธีที่เจ้าของได้กำหนด คำถามคือ ใครคือเจ้าของสวรรค์ที่แท้จริง? และวิธีการนั้นเป็นอย่างไร?
เรื่องราวของแผ่นดินของพระเจ้า หรือ แผ่นดินสวรรค์ เป็นเรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ในภาคพันธสัญญาใหม่ และปรากฎในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม โดยมักจะเปรียบเทียบแผ่นดินสวรรค์เป็นคำอุปมา พระเยซูคริสต์เริ่มต้น พระราชกิจของพระเจ้า ด้วยการประกาศหลักการ ของอาณาจักรแผ่นดินสวรรค์ (มัทธิว 4:17; ลูกา 4:43; ยอห์น 6:39-40) พระเจ้าให้มนุษย์ อาศัยอยู่ในโลกนี้ เพียงชั่วคราว แต่อาณาจักรนิรันดร์ ซึ่งเป็นพระประสงค์สูงสุด ของพระเจ้า สำหรับมนุษย์นั้น เป็นแผ่นดินหลังจากโลกใบนี้ คือ แผ่นดินที่ไม่มีวันสิ้นสุดอีกต่อไป
พระเยซูตรัสตอบว่า "ราชอำนาจของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็คงจะได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกยิว แต่ราชอำนาจของเรา มิได้มาจากโลกนี้" [ยอห์น 18:36]
แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้ [ลูกา 12:31]
ด้วยเหตุนี้ พระเยซู จึงสอนให้เราไม่ยึดติด กับสิ่งยั่วยวนที่เป็นของโลกนี้ เพราะวันหนึ่งจะสูญสลายไป แต่ผู้ที่ได้ ครองร่วมกับพระองค์ จะอยู่ในอาณาจักรที่มั่นคง ไม่มีวันสูญสิ้น ... ก่อนจะอ่านหลักการเกี่ยวกับอาณาจักร เราขอให้ คุณเปิดใจ และอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อทรงสำแดงความเข้าใจ ผ่านวิญญาณของคุณ เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ที่จะส่งผลต่อชีวิตคุณตลอดไป พระเจ้าสร้างคุณมา ตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อโลกนี้ แต่เป็นโลกหน้า
และทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดก็เป่าแตรขึ้น และมีเสียงหลายๆ เสียง กล่าวขึ้นดังๆ ในสวรรค์ว่า
"ราชอาณาจักรแห่งพิภพนี้ ได้กลับเป็นราชอาณาจักร ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครอง ตลอดไปเป็นนิตย์ " [วิวรณ์ 11:15]
ในพระคัมภีร์เดิม ไม่มีการเปิดเผยถึงแผ่นดินสวรรค์ และผู้คน ก็ไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย แต่ดาวิดได้พูดถึงลักษณะของอาณาจักรพระเจ้าไว้ ในสุดดี 145:13 โดยพระเจ้าได้วางแผน กำหนดให้มนุษย์คู่แรก ขยายอาณาจักรพระเจ้าออกไป (ปฐมกาล 1:26-28) แต่เมื่อมีความบาปเกิดขึ้น พระเจ้าจึงได้ ดำเนินแผนการณ์ ช่วยกู้ ให้มนุษย์คืนดีกับพระองค์ผ่านผู้หญิง (ปฐมกาล 3:15) โดยเลือกชนชาติอิสราเอล สืบทอดแผนนี้ต่อไป
"ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์" [มัทธิว 13:11]
จากข้อพระคำ ทำให้เห็นว่า ซาตาน พยายามขัดขวางมนุษย์ ที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น การล่อลวงให้ไหว้รูปถือผี ก้มกราบรูปเคารพแทนพระเจ้า และดำเนินการอธรรมต่างๆ ซึ่งขัดกับความ ชอบธรรม และ บริสุทธิ์ของพระองค์ แต่โดยพระเยซู ผู้สละพระชนม์เพื่อมนุษย์ พระองค์ได้รับโทษของความบาป คือ ความตาย แทนมนุษย์ด้วยความรัก พระเยซูคริสต์ ได้หลั่งเลือดและพลีชีพบนไม้กางเขน เพื่อแบกรับบาปผิดทั้งปวง
การที่พระเยซูประกาศ "แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว" หมายถึง มาแล้ว (เหมือนตอนยูดาส เข้ามาใกล้พระเยซู) แต่ไม่ได้มาในรูปแบบที่มองเห็นได้ (ลูกา 17:20-21; 19:11; ยอห์น 11:11-13) ชาวอิสราเอล เข้าใจว่าจะมาทันที เมื่อไม่มา จึงเปลี่ยนมาเรียกร้องให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน แผ่นดินพระเจ้าจึงถูกยกให้กับชาวต่างชาติ (มัทธิว 21:43) ผ่านทางคริสตจักรสากล ที่มีทุกชนชาติ ทุกภาษาในหนึ่งเดียว
พระองค์สอนว่า "อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในท่าน" หมายถึง ขอบเขตแห่งการปกครองของพระเจ้า ที่อยู่ในโลกนี้ เป็นบริเวณที่มีผู้ยอมรับการปกครอง ของผู้ที่รักพระเจ้า บังเกิดเข้าสู่อาณาจักร จึงเป็นสิ่ง ล้ำลึก (เอเฟซัส 1:9-10; 3:8-11) โดยปัจจุบันนี้ อาณาจักร เป็นส่วนถูกตั้งขึ้นแล้วทางวิญญาณ แต่ยังมองไม่เห็นในโลกนี้ ส่วนอาณาจักร ที่มองเห็นได้ อยู่ในสวรรค์ ซึ่งไม่ใช่บนท้องฟ้า แต่เป็นที่ประทับพระเจ้า และพระองค์กำลังคอยเวลา ที่จะกลับมา ตั้งอาณาจักรที่มองเห็นได้ถาวรบนโลก
“เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย” [มัทธิว 16:19]
พระเยซูเปิดเผยว่า "บนศิลานี้เราจะสร้างคริสตจักรของเรา" (มัทธิว 16:18) เป็นข้อบ่งชี้ว่า คริสตจักร จะเริ่มขึ้นจากพระคริสต์ ซึ่งเป็นศิลามุมเอกก้อนนั้น ซึ่งคริสตจักรได้ถูกสร้างขึ้น จะต้องมีหินก้อนเล็กๆ อีกหลายก้อน (เช่นคนอย่างเปโตร) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐาน โดยมีข้อสังเกตุคือ "พลังแห่งความตาย จะมีชัย เหนือคริสตจักรไม่ได้" หมายถึง คริสตจักรจะมีศัตรูต่อสู้ แต่ศัตรูไม่อาจเอาชนะได้ และ พระเยซูสัญญา "จะให้กุญแจแก่คริสตจักร" เพื่อเข้าสู่อาณาจักรของพระองค์
ฤทธิ์อำนาจนี้ ถูกปลดปล่อยในกิจการบทที่ 2 เมื่อผู้เชื่อทั้งหลาย ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (* กิจการ 1:8 *) กุญแจนี้คือ พลังอำนาจที่จะผูกมัด (กล่าวห้าม) และปลดปล่อย (อนุญาต) พันธนาการฝ่ายวิญญาณให้เป็นอิสระ ซึ่งจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ โดยมีพระเยซูเป็นศรีษะคริสตจักร เป็นกษัตริย์เหนืออาณาจักรของพระเจ้า และเราต้อง บังเกิดใหม่ โดยการสำนึกบาป พระเยซูตรัสว่า "จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว"
จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้าง ซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตู ซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้น ก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย [มัทธิว 7:13-14]
“มีหนทางเดียวที่จะเข้าสู่อาณาจักรได้ คือ ทางพระเยซูคริสต์ ถ้าเราไม่เข้าไปเสียเดี๋ยวนี้ วันหนึ่งประตูจะถูกปิด ขณะนี้ เรายังมีเวลากลับใจจากบาป แต่วันที่พระเจ้าพิพากษา ก็สาย เกินไป และเมื่อเราได้รับสิทธิ เข้าไปแล้ว ต้องพัฒนาชีวิตให้เหมาะสมกับอาณาจักรนั้นด้วย มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” [มัทธิว 13:11]
ในปัจจุบัน มีคนอ้างตัวว่าอยู่ฝ่ายพระเจ้า แต่ยังมีชีวิตอยู่ในบาป แต่เมื่อถึงวันพิพากษา พระเจ้าจะให้ทูตสวรรค์ แยกคนเลวออกทิ้งในไฟนรก เหมือนแยกข้าวละมาน (มัทธิว 13:38-43) คัดแต่ปลาดีใส่ตระกร้า (มัทธิว 13:47-50) ก่อนตั้งราชอาณาจักรสุดท้าย พระเจ้าจะทรงพิพากษา คนทั้งหมด ทั้งผู้มีชีวิตและผู้ที่ตายไปแล้ว เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา (2 ทิโมธี 4:1)
"เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า มาด้วยฤทธานุภาพ" [มาระโก 9:1]

๓.๓.๑ วัฒนธรรมที่ตรงกันข้ามของอาณาจักร
1. คนยากจน (บกพร่อง) เป็นคนมั่งมี ผู้สำนึกว่า ไม่มีความสามารถ หรือแก้ไขปัญหาเองไม่ได้ ทำให้ตนเองรอด ได้รับพระพร (มัทธิว 5:3) โลกให้เกียรติผู้มั่งมีวัตถุ แต่พระเจ้า เลือกผู้ยากจน และให้ร่ำรวยในความเชื่อ (ยากอบ 2:5; ลูกา 6:20,24)
2. ความเศร้าโศกนำความชื่นชมยินดีมาให้ มีความโศกเศร้า 2 ชนิด เศร้าจากบาปแบบโลก และเศร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความเสียใจที่ชอบพระทัยพระเจ้า ทำให้กลับใจใหม่ (2 โครินธ์ 7:10) ผู้เศร้าโศกเป็นสุข เพราะพระเจ้าจะปลอบประโลม (มัทธิว 5:4; 6:21 ยอห์น 16:20) แต่ความชื่นชมยินดี จะนำความเศร้ามาให้ ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรโลก (ลูกา 6:25)
3. ผู้อ่อนโยนเป็นผู้มีชัยชนะ อ่อนโยนไม่ใช่อ่อนแอ มีความสุภาพ นุ่มนวล ตรงข้ามกับโลก คือ "มั่นใจในตนเอง" เป็นผลฝ่ายพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22-23) โลกไม่เห็นว่าคนอ่อนโยนจะมีชัยชนะ แต่พระเจ้าสัญญาว่าจะได้รับแผ่นดินโลก เป็นมรดก (มัทธิว 5:5)
4. ผู้หิวกระหาย จะได้อิ่มหนำ ไม่ใช่ความหิว อำนาจ ความร่ำรวย ความสำเร็จ และความสุข หากแต่แสวงหาความชอบธรรม ความสุขและพระพรจากพระเจ้า โดยการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ เพราะความหิวฝ่ายโลก จะยังหิวเรื่อยไป (ลูกา 6:25)
5. ผู้มีใจเมตตา ได้รับความกรุณา โลกจะสอนว่า ถ้าเมตตาเกินไป จะถูกขอไม่หยุด และโดนตักตวงผลประโยชน์ แต่วัฒนธรรมอาณาจักรสวรรค์ ตรงกันข้าม ถ้าเราเมตตา เราจะได้รับความกรุณาจากพระเจ้า (มัทธิว 5:7)
6. เน้นภายในมากกว่าภายนอก ไม่ใช่เคร่งครัด ถืออด กินมังสวิรัต เพื่อแสดงตนเป็นคนชอบธรรม พระเยซูเน้นที่ท่าทีจิตใจ ไม่ใช่การถือศาสนา (มัทธิว 5:8)
7. สันติภาพแทนการปฎิวัติ โลกมักเปลี่ยนแปลงด้วยการปฎิวัติ แต่ผู้สร้างสันติ คือผู้นำการเปลี่ยนแปลง ในอาณาจักรพระเจ้า ผู้ถูกข่มเหงเพราะความชอบธรรม เป็นเจ้าของแผ่นดินสวรรค์ (มัทธิว 5:9) สันติภาพ ไม่ใช่การวิ่งหนีปัญหา แต่สันติสุขพระเจ้า ไม่เหมือนที่โลกให้ (ยอห์น 14:27) เพราะสันติภาพนี้ ไม่มีความกลัว สามารถเป็นสุขได้ แม้สถานการณ์ไม่ใช่
8. ผู้ถูกข่มเหงได้รับการยกชูขึ้น เพื่อความชอบธรรม (มัทธิว 5:10) ไม่ใช่การทนทุกข์เพราะความผิดตัวเอง แต่เพราะพระนามพระคริสต์ (1 เปโตร 2:20) ซึ่งความบาปของเรา อยู่เบื้องหลังการทนทุกข์บางประการ (ยากอบ 5:14-16)
9. ผู้น้อยสุด คือผู้เป็นใหญ่ที่สุด โลกยกย่องความยิ่งใหญ่ จากความสำเร็จและชื่อเสียง แต่พระเจ้าเลือกคนเล็กน้อย ให้เป็นใหญ่ในสวรรค์ (มัทธิว 5:19)
10. ผู้ถ่อมใจ จะได้รับการยกย่อง ทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะถูกเหยียดลง ผู้ที่ถ่อมตัว จะถูกยกขึ้น (ลูกา 14:11; มัทธิว 23:12)
11. ปรนนิบัติรับใช้ เพื่อเป็นผู้นำ โลกยกย่องคนตำแหน่งสูง ใช้คนอื่นปรนนิบัติ แต่อาณาจักรนี้ อยากเป็นใหญ่ ต้องรับใช้ผู้อื่น (มัทธิว 23:11; 20:26-28; ลูกา 22:26) ผู้เป็นคนต้นจะกลับเป็นคนสุดท้าย (มัทธิว 19:30; 20:16; ลูกา 13:30)
12. สิ่งเล็กน้อย กลายเป็นสิ่งใหญ่ พระเยซูอุปมาแผ่นดินสวรรค์ เหมือนเมล็ดผัก และชี้ให้เห็นหญิงม่ายที่ถวายเหรียญทองแดง ทั้งที่ขัดสนที่สุด (ลูกา 21:1-4)
13. ผู้ได้รับการยกย่อง มีค่าต่ำต้อย ผู้ถูกยกย่องในโลก ไม่ได้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอไป เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรคนที่จิตใจ (ลูกา 16:15)
14. ผู้ใหญ่กลับกลายเป็นเด็ก หมายถึง ยอมรับข่าวประเสริฐ ด้วยวิธีเช่นเด็กๆ ความเชื่อง่ายๆ (มัทธิว 18:1-4; 19:14; ลูกา 18:16-17; มาระโก 10:15)
15. ตายเพื่อได้ชีวิตอยู่ เสียชีวิตเพื่อรอด ต้องตายฝ่ายโลก ยอมตัดสัมพันธ์กับโลก เพื่อใช้ชีวิตในอาณาจักรพระเจ้า (ยอห์น 12:24) ยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่พระเจ้า (มาระโก 8:35) แต่เราจะเสียชีวิต ถ้าให้โลกนี้เป็นมาตรฐาน ในการดำเนินชีวิต (มัทธิว 10:39; 16:24-25) ต้องเอาความเป็นตัวเอง หรือ เนื้อหนังออกไป แล้วทำตามพระทัยพระเจ้าทุกวัน (ยอห์น 12:25)
16. ให้เพื่อได้รับ ให้อะไรใครไว้ จะได้เช่นนั้นตอบแทน (ลูกา 6:38)
17. สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้ (ลูกา 18:27; มาระโก 10:27)
18. ตาบอดมองเห็น แบกแอกเบา พระเยซูมาเพื่อให้สายตา ฝ่ายวิญญาณแก่ผู้หลงหายในความมืด (ยอห์น 9:39) แต่คนที่คิดว่าสายตาดี เพราะศีลธรรมที่เห็นและถืออยู่นั้น ตาบอด พระเยซูมาช่วยแบกภาระ และให้ภาระที่เบาแก่เรา คือ การขยายข่าวประเสริฐ
19. สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ พระเยซูเปรียบเทียบ ผู้เน้นเรื่องทรัพย์สมบัติของโลกว่าเป็นคนโง่ (ลูกา 12:21) และสอนให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีวันสูญสิ้น (มัทธิว 6:19- 21) ผู้ที่เอาดีเข้าตัว ก็สำหรับตัวเอง แต่ผู้ที่เอาดีให้พระเจ้า ผู้นั้นแหละ เป็นคนชอบธรรม (ยอห์น 7:18)
20. การแตกแยก แทนสันติภาพ คนที่กลับใจเชื่อ ได้บังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ แต่คนที่ไม่ยอมรับพระเยซู ผู้นั้นไม่ได้เป็นของอาณาจักรพระเจ้า จึงทำให้เกิดการแตกแยก (ลูกา 12:51-53; มัทธิว 10:36)
21. สิ่งถูกปกปิด ถูกเปิดเผย อาณาจักรพระเจ้า จะขยายไปสู่คนบาป แทนคนชอบธรรม (มัทธิว 9:13) ซักวันคนที่มือถือสาก ปากถือศีล จะถูกเปิดโปง (มัทธิว 10:26-27) เพราะแผ่นดิน ของพระเจ้า เป็นเรื่องความชอบธรรม สันติสุข และชื่นชมยินดี ไม่ใช่การกินหรือดื่ม (โรม 14:17; 1 โครินธ์ 4:20)
22. ความตรงข้ามอื่น ๆ ได้แก่ ประตูแคบ ที่คนหาเจอมีน้อย (มัทธิว 7:13-14) ผู้เผยพระวจนะที่ภายนอกดูดี แต่จิตใจชั่วร้าย เช่น นักบวชนุ่งห่มชุดพิธีการ (มัทธิว 7:13-14) ผลของต้นไม้ แสดงถึงความดีเลวของมัน (มัทธิว 7:17-20; ลูกา 6:43-44) การอ้างสิทธิ (มัทธิว 7:21-23) รากฐาน 2 ชนิด (มัทธิว 7:24-27; ลูกา 6:46-49)
แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใด ใคร่จะได้เป็นใหญ่ ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง" [มาระโก 10:43-44]

๓.๓.๒ หลักการสำคัญสุดและหลักการทั่วไป
1. รักพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดความคิดและสิ้นสุดกำลัง (มัทธิว 22:37)
2. รักต่อผู้อื่น และปฎิบัติต่อผู้อื่น เหมือนที่ท่านรักตนเอง และปรารถนาให้ผู้อื่นปฎิบัติ (มาระโก 12:31)
คนเย่อหยิ่งจะถูกกดให้ต่ำลง และผู้ต่ำต้อยจะได้รับการยกชู คนหิวจะกินอิ่ม คนมั่งมีจะกลับไปมือเปล่า (ลูกา 1:49-53) การอัศจรรย์ครั้งแรกของพระเยซู คือ การทำให้น้ำกลายเป็นน้ำองุ่น ดังนั้น บทบัญญัติที่ใช้ปกครอง อาณาจักรพระเจ้า ตรงข้ามกับบัญญัติ อาณาจักรธรรมชาติของโลกนี้
[1] หลักการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว - อาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีความเป็นพี่น้องหรือเข้าร่วมกับอาณาจักรของ ซาตาน ฤทธิ์อำนาจที่ไม่จำกัด เกิดจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (มัทธิว 18:19-20) พลเมืองที่ยังเป็นกายแห่ง เนื้อหนัง อาจมีการแตกแยกเป็นบางครั้ง แต่พระเยซูได้ให้กฎเกณฑ์ เพื่อจัดการแก้ปัญหาไว้ใน มัทธิว 18:15-35
[2] หลักการ การซึมซาบเข้าสู่โลก - พลเมืองต้องเป็นเกลือ และความสว่างของโลก (มัทธิว 5:13-16; ลูกา 11:33-36) ต้องรักษาความเค็ม และส่องสว่างแก่คนทั้งปวง (ลูกา 14:34-35) ในโลกธรรมชาติ เกลือใช้ถนอมรักษาอาหาร บาดแผลไม่ให้เน่าเปื่อย ในโลกวิญญาณ พลเมือง ต้องแทรกซึม และรักษาคุณค่าอาณาจักร และมีผลกระทบต่อหมู่ชนจำนวนมาก ต้องเป็นแสงสว่าง ที่ส่องเข้าไปในความมืด
[3] หลักการของการอธิษฐาน - ตั้งอยู่บนหลัก 3 ประการ ขอ หา เคาะ (มัทธิว 7:7-8) แต่ละระดับหมายถึง ความเข้มข้นที่มากขึ้น ในการแสวงหาพระเจ้า (มัทธิว 6:9-13; ลูกา 11:2-4)
[4] หลักการนมัสการ - พื้นฐาน ประกอบด้วย การให้-ท่านทีภายนอก (มัทธิว 6:1-4) การอธิษฐาน-ท่าทีสู่เบื้องบน (มัทธิว 6:5-15) การถืออด-ท่าทีภายใน (มัทธิว 6:16-18) โดยท่าทีทั้ง 3 จะต้องกระทำเป็นความลับ
[5] หลักการมีนิมิตเดียว - คือ การแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า (ลูกา 12:31) ก่อนสิ่งอื่นใด เพื่อ มีใจเดียวกัน การปรนนิบัติเดียวกัน มีความคิดเดียวกัน พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่โปรดให้รู้" [มัทธิว 13:11]

๓.๓.๓ คำอุปมาของแผ่นดินสวรรค์
ก่อนจะเล่าคำอุปมา พระเยซูได้กล่าวชัดเจนว่าอาณาจักรพระเจ้า คือใจความสำคัญของคำอุปมา คำอุปมา ทุกๆ เรื่องที่พระเยซูเล่า มีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่ง กับอาณาจักรพระเจ้า ความรู้เกี่ยวกับความจริงฝ่ายวิญญาณ ของอาณาจักรพระเจ้า ได้มอบให้แก่สาวก เพราว่าเขาเข้าใจความคิดฝ่ายวิญญาณ ผู้ไม่มีความคิดฝ่ายวิญญาณ ได้ยินคำอุปมาแล้วจะไม่เข้าใจ เพราคนที่เป็นแต่เนื้อหนัง จะมีจิตใจบาป พระเยซูปกปิดหลักการยิ่งใหญ่ ด้วยคำอุปมา จากผู้ไม่เชื่อในพระองค์ (มาระโก 4:12) คนที่มีความคิดฝ่ายวิญญาณได้ ต้องบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ
"แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ" [1 โครินธ์ 2:14]

3.3.4 การเสนอให้รับราชอาณาจักร
1. ท่อนผ้าที่ถูกปะ (มัทธิว 9:16; มาระโก 2:21; ลูกา 5:36) ผ้าใหม่มาปะเสื้อเก่าด้วยกันไม่ได้ อาณาจักรพระเจ้า ไม่สามารถนำเอาสิ่งเก่าๆ จากอาณาจักรเก่ามารวมด้วยได้
2. ถุงใส่เหล้าองุ่น (มัทธิว 9.17; มาระโก 2:22; ลูกา 5:37) จะเข้าในอาณาจักรพระเจ้า ต้องทิ้งรูปแบบเดิม ของประเพณีทางศาสนา ไม่สามารถ ใส่เรื่องนี้ ด้วยการดำเนินชีวิตแบบเดิม
3. ผู้เลี้ยงแกะที่ดี (ยอห์น 10:1-16) พระเยซูผู้เป็นกษัตริย์ ได้รับการเปรียบเทียบกับผู้เลี้ยงแกะ พระองค์จะนำแกะ ออกจากพันธะทางศาสนา และนำแกะเข้าสู่อิสรภาพ แห่งอาณาจักรพระเจ้า แกะรู้จักเสียงผู้เลี้ยง และตอบสนองข้อเสนอ รับเอาอาณาจักร
4. บุตรน้อยหลงหาย (ลูกา 15:11-32) แกะหลง (มัทธิว 18:12-14; ลูกา 15:4-7) เหรียญเงินหาย (ลูกา 15:8-10) แสดงถึงการตามแกะที่หลงไปของพระบิดา การสำนึกผิด เป็นกุญแจไปสู่ การเป็นทายาทในราชอาณาจักร
5. งานเลี้ยง งานแต่งงาน (มัทธิว 22:1-14; ลูกา 14:16-24) พระเยซูทรงเชื้อเชิญคนยุคปัจจุบัน ให้เข้าสู่ อาณาจักร เดิมคำเชิญได้ชาวอิสราเอล แต่ไม่ใช่ทุกคน จึงมีคำเชิญไปยังคนต่างชาติ
6. คนสร้างบ้าน 2 คน (มัทธิว 7:24-27) ราชอาณาจักร ถูกสร้างขึ้นบนพระเยซูคริสต์ บ้านที่ถูกสร้างบนศิลา จะยืนหยัดต่อพายุทุกครั้ง ให้สร้างชีวิต บนรากฐานนิรันดร์ แห่งอาณาจักรพระเจ้า
7. ประตู 2 ชนิด (มัทธิว 7:13-14; ลูกา 13:24-28) มีเพียงประตูเดียวที่เข้าอาณาจักรได้ ประตูนี้คือ พระเยซู

3.3.5 การปฎิเสธอาณาจักร
8. คนเฝ้าสวนฆ่าลูกชายเจ้าของสวน (มัทธิว 21:33-34; มาระโก 12:1-11; ลูกา 20:9-18) พระเยซูเปิดเผยว่า คนอิสราเอลจะปฎิเสธพระองค์ ในฐานะพระมาซีฮาห์ พระเจ้าส่งผู้พยากรณ์ แต่อิสราเอลฆ่าเสีย จึงส่งพระบุตร และก็ถูกฆ่าเช่นกัน
9. ต้นมะเดื่อไร้ผล (ลูกา 13:6-9) ต้นมะเดื่อ เป็นสัญลักษณ์ของชนชาติอิสราเอล พระเจ้าทรงตั้งอิสราเอล เพื่อเปิดเผยแผ่นดินพระองค์แก่โลก หลายครั้งพระเจ้าพยายามให้ ต้นไม้นี้ ออกผลท่ามกลางชาติต่างๆ แต่อิสราเอลก็ยังคงไร้ผล

3.3.6 อาณาจักรถูกเลื่อนออกไป
10. เงินตะลันต์ (มัทธิว 25:14-30; ลูกา 19:11-27) คนเดินทางไกล (มาระโก 13:34-37) คนใช้ (มัทธิว 24:43-51 ลูกา 12:39-46) คนใช้ที่เฝ้าระวัง (ลูกา 12:36-38) พระเยซูเล่าคำอุปมามากมาย ที่เปิดเผยว่า อาณาจักรพระเจ้าจะถูกตั้งขึ้น ในรูปแบบสุดท้ายในอนาคต แต่พระองค์ถูกปฎิเสธ และเน้นว่า สาวกต้องสัตย์ซื่อ ต่อหน้าที่ โดยใช้ตะลันต์และความสามารถ ที่พระเจ้าให้ไว้ เพื่อขยายอาณาจักรของพระองค์
11. ต้นมะเดื่อ (มัทธิว 24:32-34; มาระโก 13:28-31; ลูกา 21:29-32) พระเยซูบอกประมาณเวลา ของการตั้งอาณาจักรพระเจ้า เป็นครั้งสุดท้าย เมื่ออิสราเอล ถูกนำกลับคืนมา ยังดินแดนของตนและเริ่ม "ผลิใบ" เป็นชนชาติหนึ่งอีกครั้ง เวลาของการเสด็จกลับมาของกษัตริย์ก็ใกล้เข้ามา (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว)

3.3.7 การเติบโตของอาณาจักร
12. ผู้หว่านพืช (มัทธิว 13:3-8; มาระโก 4:3-8; ลูกา 8:5-8) ข่าวประเสริฐของอาณาจักรถูกประกาศออกไป เหมือนการหว่านเมล็ดพืช จะมีการตอบสนองหลายอย่างต่างกันไป ผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้หว่าน แต่ขึ้นอยู่กับชีวิตในเมล็ด และสภาวะของดิน
13. ข้าวละมานและข้าวสาลี (มัทธิว 13:24-30) ซาตานพยายามให้แผนการของอาณาจักรพ่ายแพ้ จึงหว่าน "วัชพืช" ลงท่ามกลางเมล็ดดี ซึ่งดูคล้ายคลึงกับข้าวสาลีที่ดี แต่ในเวลาเก็บเกี่ยว จะสังเกตุได้จากเมล็ดข้าว วัชพืชจะไม่เกิดผลดี
14. อวนจับปลา (มัทธิว 13:47-50) ราชอาณาจักรเปรียบเหมือนอวนใหญ่ในทะเล ปลาทุกชนิดจะเข้าไป แต่เมื่อลากเข้าฝั่ง ปลาดีจะถูกแยกออก ราชอาณาจักรจะนำคนจากทุกๆ ชาติ ก่อนตั้งครั้งสุดท้าย จะมีการพิพากษา แยกคนชั่วออกไป
15. เมล็ดพันธุ์ผักกาด (มัทธิว 13:31-32; มาระโก 4:31-32; ลูกา 13:19) อาณาจักรเติบโตเหมือนเมล็ดเล็กๆ มีการเริ่มต้นไม่สำคัญอะไร แต่จะเติบโต เป็นขนาดใหญ่ และเกิดประโยชน์มากมาย
16. เชื้อขนมปัง (มัทธิว 13:13; ลูกา 13:21) ฤทธิอำนาจของอาณาจักร ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ภายใน อาณาจักรจะขยายออกไปทั่วโลก เหมือนกับ ขนมปังที่ฟูขึ้น

3.3.8 การพิพากษาของอาณาจักร
17. สาวพรมจารีย์ 10 คน (มัทธิว 25:1-12) แกะและแพะ (มัทธิว 25:31-46) ในเวลาพิพากษา ผู้ที่พร้อมก็จะเข้าไป ผู้ที่เป็นแกะที่แท้จริง จะได้รับการยอมรับ ส่วนคนอื่นจะถูกปฎิเสธ

3.3.9 คุณค่าแห่งอาณาจักร
18. ไข่มุกราคาสูง (มัทธิว 13:45-46) สมบัติที่ซ่อนไว้ (มัทธิว 13:44) อาณาจักรพระเจ้า มีค่าสูง จนไม่มีสิ่งใด เปรียบเทียบได้ มีค่ามากกว่าสมบัติใดๆ ของมนุษย์ ถ้าเราต้องเสียทุกสิ่ง เพื่ออาณาจักรนี้ ก็มีค่ามากพอที่จะสละได้
19. คนต้นเรือน (มัทธิว 13:52) พระเยซูเปรียบเทียบพระองค์ เหมือนคนเฝ้าสิ่งของ ซึ่งอาจนำเมล็ดข้าวใหม่ หรือเก่า น้ำองุ่นใหม่หรือเก่า แต่ก็ทำให้บ้านเรือนได้รับสิ่งต้องการ อาณาจักรที่พระเยซูนำมา เหมือนรูปแบบเดิม แต่ก็เป็นของใหม่โดยสิ้นเชิง แต่ทั้งสิ่งใหม่และเก่า มีคุณค่าในการตอบสนองความต้องการ ของผู้อาศัยในอาณาจักรพระเจ้า

3.3.10 ชีวิตในอาณาจักร
20. บุตร 2 คน (มัทธิว 21:28-32) ความเชื่อฟัง เป็นการทดสอบการเป็นบุตรในครอบครัว
21. ชาวสะมาเรียใจดี (ลูกา 10:30-37) เพื่อนบ้านของเรา คือใครก็ตามที่ขัดสน เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร เราต้องมีความรักต่อผู้อื่น และช่วยให้เขา ได้ในสิ่งที่ต้องการ
22. เจ้าหนี้ 2 คน (ลูกา 7:41-43) สอนว่าคนมีประสบกาณ์ความรักแห่งอาณาจักร ก็จะแสดงความรักนั้นออกมาได้
23. ฟาริสีและคนเก็บภาษี (ลูกา 18:10-14) ฟาริสีเข้าหาพระเจ้าด้วยความชอบธรรมตัวเอง คนเก็บภาษีรู้ว่าไม่มีค่าพอจะยืนต่อหน้าพระเจ้า พระเยซูสอนให้คนถ่อมใจ ในคำอธิษฐาน และบาปของความชอบธรรมตนเอง
24. ความคิดคำนึงของเศรษฐี (ลูกา 12:16-21) ตัวอูฐรอดรูเข็ม (มัทธิว 19:24) การพึ่งพิงความมั่งมีทางวัตถุ เป็นของชั่วคราว สิ่งสำคัญเหนือชีวิต คือ อาณาจักรนิรันดร์ อูฐที่รอดรูเข็มได้ ต้องถอดสัมภาระ ทั้งสิ้นวางไว้นอกประตูเมือง
25. ผงกับท่อนไม้ (มัทธิว 7:1-5; ลูกา 6:41-42) เราควรพิจารณาพิพากษาตนเอง มากกว่าตัดสินผู้อื่น
26. การเก็บเกี่ยว (มัทธิว 9:37-38, ลูกา10:2) ข้าวสุกและพร้อมที่จะรวบรวม เน้นความตั้งใจของผู้เชื่อ ที่จะขยายอาณาจักรพระเจ้าออกไป
27. ผู้พิพากษาและหญิงหม้าย (ลูกา 18:1-8) มิตรสหายที่เพียรขอ (ลูกา 11:5-10) แสดงให้เห็นความสำคัญ ของการเพียรอธิษฐาน
28. ทาสที่สัตย์ซื่อ (มัทธิว 25:14-30) เน้นความสำคัญคนต้นเรือนที่ฉลาดและชอบธรรม ดูแลทรัพย์สมบัติ อาณาจักรก็มอบให้กับผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อ
29. ที่นั่งในงาน (ลูกา 14:7-11) ความถ่อมใจเป็นสิ่งสำคัญ จะได้รับการยกย่องในอาณาจักรพระเจ้า
30. เถาองุ่น (ยอห์น 15:1-6) ความสัมพันธ์ของพระเยซูต่อคริสตจักร
31. คนงานสวนองุ่น (มัทธิว 20:1-6) สอนว่าบำเหน็จนิรันดร์ ไม่ได้ตั้งอยู่บนมาตรฐานโลก
32. หน้าที่คนรับใช้ (ลูกา 17:7-10) ความเข้าใจที่เหมาะสมในความผูกพันกับอาณาจักร
33. เสื้อผ้าที่สวมในงานสมรส (มัทธิว 22:10-14) เราต้องสวมความชอบธรรม เพื่อจะคงอยู่ในอาณาจักร ไม่ใช่ความชอบธรรมตนเอง แต่ได้มา โดยทางความชอบธรรม จากองค์พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า
"อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจ ที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้" [มัทธิว 10:28]

3.3.11 ผู้ไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
การเป็นพลเมืองของพระเจ้า ต้องมากกว่ายอมรับด้วยคำพูด ต้องประกอบด้วยการ เปลี่ยนแปลงความคิด และการกระทำ พระเยซูเน้นถึงการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในมัทธิว 21.28-32 เราต้องตอบสนอง พระคุณพระเจ้า เป็นส่วนตัว เพราะมีบาปมากมายที่ปิดกั้นการเข้าอาณาจักร
"ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่มีส่วน ในแผ่นดินของพระเจ้า อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี
คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา โสเภณีชาย ชายรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า" [1 โครินธ์ 6:9-10]
"การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน เหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่าคนที่ประพฤติเช่นนั้น จะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า" [กาลาเทีย 5:19-21]
คนอธรรม หรือ คนลามก จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินพระเจ้า เพราะพระเจ้าชอบธรรม คือ ยุติธรรม ถูกต้อง บริสุทธิ์ ความชอบธรรม มาทางความเชื่อในพระเยซู (2 โครินธ์ 5:21; มัทธิว 5:20) คนที่พยายามตามข้อเชื่อ ประเพณี ของหลักศาสนา กฎหรือศีลใดๆ เพื่อจะชอบธรรม ก็เป็นพวกเดียวกับฟาริสี เป็นความประพฤติภายนอก ไม่อาจ เปลี่ยนแปลงจิตใจภายในได้ ถ้ามีใครสอนเรื่องนี้ ผู้นั้นก็ปิดกั้นผู้อื่น ไม่ให้ไปสู่อาณาจักร (มัทธิว 23:13)
คนผิดประเวณี ล่วงประเวณี รวมทุกอย่างเกี่ยวกับความรู้สึกผิดทางเพศ ทั้งมีสัมพันธ์กับคนไม่ใช่คู่ครอง การสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน โฮโมเซกซ์ชวล การใช้ร่างกายในทางที่ผิด ฯลฯ
คนไหว้รูปเคารพ ไม่ใช่เพียงแค่รูปปั้น ต้นไม้ แต่รวมทุกอย่างที่เราเห็นว่าสำคัญกว่าพระเจ้า เช่น การรักเงินทอง
"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือด จะมีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ และสิ่งซึ่งเน่าเปื่อย จะมีส่วนในสิ่ง ซึ่งไม่รู้จักเน่าเปื่อยก็ไม่ได้" [1 โครินธ์ 15:50]
นอกจากนี้ ยังรวมถึง คนเมาเหล้า คนขโมย คนโลภ คนด่าทอ คนโสโครก ถือวิทยาคม เกลียดชัง แตกแยก อิจฉาริษยา โกรธ แตกแยก ทุ่มเถียง ฆ่าคน เสเพล ฯลฯ เราไม่สามารถเข้าอาณาจักรได้ ด้วยเนื้อและเลือด เราต้องตัดสินใจบังเกิดใหม่ (มัทธิว 18:3; มาระโก 10:15) มีความเชื่อง่ายๆ เหมือนเด็กเล็กๆ
"ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมี จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า" [มาระโก 10:25]
พระเยซูไม่ได้หมายความว่า ความมั่งมีจะทำให้คนเข้าอาณาจักรไม่ได้ แต่ความรักเงินทอง จะทำให้คนออกห่าง จากอาณาจักร เพราะ "ด้วยว่าการรักเงินทองนั้น เป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล" [1 ทิโมธี 6:10] ถ้าคุณรู้สึกผิดบาป มีทางเดียวเท่านั้น คือสารภาพบาป กับพระเยซูคริสต์ (1 โครินธ์ 6:11)
"ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า ด้วยตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งไปในนรก" [มาระโก 9:47]
อะไรก็ตามในชีวิตเรา ที่จะทำให้ทำบาป แม้จะเป็นสิ่งมีค่าต่อเรา เราต้องกำจัด ออกไป แม้บางครั้ง อาจต้อง เจ็บปวดเสียใจ แต่ดีกว่าจะถูกปฎิเสธการเข้าสู่อาณาจักร ไม่ว่าจะเป็น ความสนุกสนาน การครอบครอง ฯลฯ
"เชิญมาเถิด" และให้ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวว่า "เชิญมาเถิด" และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย [วิวรณ์ 22:17]

3.4 พระเจ้าได้ยกบาปของท่านแล้ว (ชีวิตนิรันดร์)
ยอห์น 16:12 (พระเยซูตรัสว่า) "เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่ท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้"
ฮีบรู 5:14 อาหารแข็ง เป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้ รับการฝึกหัดอบรม ให้รู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว
"ข้าพเจ้า จะทำประการใด จึงจะได้ ชีวิตนิรันดร์" [ลูกา 18:18]
1. ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป และทูลขอพระเจ้าให้อภัยบาป
2. สารภาพบาปของตัวเองกับพระเจ้า และพยายามแก้ไขการกระทำผิดให้ถูก เท่าที่จะทำได้
3. ยอมรับด้วยความเชื่อ การให้อภัยของพระเจ้า และทูลเชิญพระเยซู ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนตัว
เพราะว่าพระเจ้า ทรงรักโลก จนได้ทรงประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคน ที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ [ยอห์น 3:16]
มัทธิว 18:3 (พระเยซู)ตรัสว่า "เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่าน ไม่กลับใจ เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้เลย"
มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และจะได้รับโทษถึงตาย แต่ เรายังเรียนรู้อีกว่า โดย การสิ้นพระชนม์ บนกางเขน ของพระเยซู พระเจ้า ทรงลบบาป ในอดีตทั้งหมด ของคนบาป ที่กลับใจใหม่แล้ว ขอบคุณพระเจ้า เราจะทราบว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะเปลี่ยนแปลงปัจจุบันและอนาคตของเรา
ยอห์น 3:3-5 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้น จะเห็นแผ่นดิน ของพระเจ้าไม่ได้" นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า "คนชราแล้ว จะบังเกิดใหม่ อย่างไรได้ จะเข้าในครรภ์มารดา ครั้งที่สอง และบังเกิดใหม่ได้หรือ" พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริง แก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ จากน้ำ และพระวิญญาณ ผู้นั้น จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้"
2 โครินธ์ 5:17 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้น ก็เป็นคน ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
ในการสนทนากับนิโคเดมัสนั้น พระเยซูตรัสถึงเรื่องของการกลับใจ พระองค์ทรงเปรียบเทียบ การกลับใจ กับการ บังเกิดใหม่ ซึ่งจำเป็น สำหรับชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเชิญ พระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วย ของเราแล้ว เรายังเปิดให้พระองค์ เสด็จเข้ามาในหัวใจ ของเรา เพื่อเปลี่ยนแปลงเรา ให้มีลักษณะ เหมือนพระฉายา ของพระองค์ การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ เมื่อพระเจ้า เสด็จเข้ามาในชีวิตของเราเท่านั้น ไม่มีใคร จะกลับใจได้ ด้วยการกระทำของตัวเขาเอง
1 โครินทร์ 3:1-2 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้า ไม่อาจจะพูดกับท่าน เหมือนพูด กับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ แล้วได้ แต่ต้องพูด กับท่าน เหมือนคนที่ อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนกับท่าน เป็นทารกในพระคริสต์ ข้าพเจ้าเลี้ยงท่าน ด้วยน้ำนม มิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่า เมื่อก่อนนั้น ท่านยังไม่สามารถรับ
1 เปโตร 2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนา น้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้น จะทำให้ท่าน ทั้งหลาย เจริญขึ้นสู่ความรอด
คริสเตียนบังเกิดใหม่ มีลักษณะคล้ายทารกแรกเกิด เขาจะเติบโตขึ้นทุกวัน
2 โครินธ์ 4:16 ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน
ยอห์น 15:4-5 (พระเยซูตรัสว่า) จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก จะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยก จากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
ขณะที่เราก้าวขึ้นไปในประสบการณ์ชีวิตคริสเตียน อำนาจกระทำการ ของพระวิญญาณ ของพระเจ้า จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ค่านิยม คุณค่าชีวิต แนวคิด และสายตา การมองเหตุการณ์ รอบด้านของเรา ชีวิตของเรา จะสะท้อน พระลักษณะของพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ ที่เรามีกับพระเยซูคริสต์ จะทำให้เรา เกิดผลที่ดี
กาลาเทีย 5:22-23 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน
1 โครินธ์ 1:30 โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ ให้เป็นปัญญา และความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป
ต้นไม้เกิดผลได้ตามธรรมชาติจากน้ำหล่อเลี้ยง ที่หมุนเวียนภายในกิ่งของมัน ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในหัวใจเรา จะช่วยเรา เกิดผลทางฝ่ายวิญญาณ ได้เอง การทำงาน อย่างต่อเนื่อง ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในหัวใจ ของเรานี้ เรียกว่า การชำระให้บริสุทธิ์
ดังนั้น การช่วยมนุษย์ให้รอด จึงประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ คือ การทำให้เป็นผู้ชอบธรรม คือขั้นตอนของคนบาป ที่ต้องการกลับใจ จะได้รับการอภัยจากบาป ที่เขาทำในอดีต การชำระให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการกระทำ ของพระวิญญาณ บริสุทธิ์ ภายในตัวเรา เปลี่ยนแปลงเรา ทุกวัน ให้มีลักษณะ เหมือนพระฉายาของพระเจ้า การชำระให้บริสุทธิ์ จะเป็น หลักฐาน แสดงให้เห็นว่า เราจริงใจ เมื่อเราทูลขอพระเยซู ให้อภัยบาปของเรา และทูลเชิญพระองค์ ให้เป็นพระผู้ช่วย ให้รอดของเรา

อ้างอิง
วารีญา ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม.กระแสปรัชญาศาสนาคริสต์,(2547)
วารีญา ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม, “ปรัชญาขั้นแนะนำ: กระแสคิดที่ทรงอิทธิพลต่อโลก,หนังสือชุดนักคิดสะท้านโลกันต์.1”,กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ชีวาภิวัฒน์, ,(2547).บทที่ 3 ปรัชญากรีก,หน้า 142 ถึง 152.
ศาสนาและประเพณี/วัฒนธรรม.http://allknowledges.tripod.com/religion.html,24 ส.ค. 2553,
00.43 น.
จิตติเทพ hap-67titjit@live.com

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอดูศาสนาพราหมณ์หน่อยคร๊าบๆๆๆครับ

    ตอบลบ

จิตติเทพ เว็บบล็อก